พิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ กับ Royalpaper

พิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ กับ Royalpaper

สั่งพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ กับ Royalpaper เลือกวัสดุแลเทคนิคพิเศษได้ครบ ขั้นต่ำยืดหยุ่น งานคุณภาพสูง ส่งตรงเวลา ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ

Key Takeaway

  • เลือกประเภทของกล่องบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะกับสินค้า ลดความเสียหายและสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์
  • เตรียมไฟล์งานพิมพ์กล่องให้ถูกต้อง ด้วยการกำหนด CMYK , 300 DPI , Bleed 3 mm
  • ประหยัดงบด้วยการวางแผน MOQ และราคาต่อหน่วย เพื่อคุ้มค่าในการสั่งผลิต
  • เพิ่มมูลค่าด้วยเทคนิคการพิมพ์กล่องและเทคนิคพิเศษ เช่น ฟอยล์/นูน/Spot UV
  • มั่นใจงานเสร็จตรงเวลา ด้วยขั้นตอนสั่งพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์กับ Royalpaper ที่ชัดเจน

การพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ไม่ใช่แค่การผลิตบรรจุภัณฑ์ แต่คือการสร้างแบรนด์และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า Royalpaper ในฐานะโรงพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ เราพร้อมดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ การเลือกวัสดุคุณภาพ การผลิตที่มีมาตรฐาน ไปจนถึงการส่งมอบ เพื่อให้ธุรกิจของคุณได้กล่องที่ทั้งสวยและใช้งานจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

กล่องบรรจุภัณฑ์ คืออะไร และทำไมสำคัญต่อธุรกิจ

สารบัญเนื้อหา

กล่องบรรจุภัณฑ์ คือ วัสดุที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องสินค้าให้ปลอดภัยระหว่างการขนส่ง การจัดเก็บ และการวางจำหน่าย แต่ในปัจจุบัน หน้าที่ของมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะกล่องยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารแบรนด์และสร้างความประทับใจแรก (First Impression) ให้กับลูกค้าตั้งแต่แรกเห็น โดยเฉพาะในยุค E-commerce ที่ผู้ซื้อไม่ได้สัมผัสสินค้าจริงตั้งแต่ต้น การพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ ที่ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์และใส่ใจในทุกรายละเอียด จึงมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดความสนใจ ถ่ายทอดตัวตนของสินค้า และช่วย เพิ่มยอดขายรวมถึงสร้างการจดจำแบรนด์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทบาทหลักของกล่องบรรจุภัณฑ์

  • ดูแลความปลอดภัยของสินค้า: ป้องกันการกระแทก ความชื้น แสงแดด และสิ่งปนเปื้อน
  • นำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์: ดีไซน์ สี โลโก้ และวัสดุสะท้อนบุคลิกและคุณภาพของสินค้า
  • ส่งเสริมการตลาดและข้อมูลสินค้า: ใช้พื้นที่กล่องในการใส่ข้อมูลสินค้า โปรโมชั่น หรือ QR code เชื่อมต่อออนไลน์
  • ยกระดับประสบการณ์การแกะกล่อง (Unboxing Experience): กล่องที่เปิดง่ายและมีดีไซน์โดดเด่นช่วยสร้างความประทับใจเพิ่มเติม

ประเภทของกล่องบรรจุภัณฑ์หลักที่นิยมใช้ในปัจจุบัน

  • Art Card Paper Box (กล่องกระดาษอาร์ตการ์ด): ผิวเรียบ พิมพ์สีสวย เหมาะกับสินค้า FMCG และเครื่องสำอาง
  • Rigid Box (กล่องจั่วปัง): แข็งแรง ให้ภาพลักษณ์พรีเมียม เหมาะกับของขวัญหรือสินค้า Luxury
  • Kraft Paper Box (กล่องกระดาษคราฟท์): สีน้ำตาลธรรมชาติ แข็งแรง และ Eco-friendly ได้รับความนิยมในแบรนด์รักษ์โลก

กล่องบรรจุภัณฑ์แบบต่างๆ และวัสดุที่นิยมใช้

วัสดุทำกล่องบรรจุภัณฑ์

  • กระดาษอาร์ตการ์ด: 260–400 แกรม ผิวเรียบเนียน พิมพ์สีสด เหมาะกับเครื่องสำอาง อาหารเสริม และสินค้า FMCG
  • กระดาษคราฟท์: 300–450 แกรม ให้ภาพลักษณ์ธรรมชาติและรักษ์โลก เหมาะกับแบรนด์ Organic หรือ Eco-friendly
  • กระดาษกล่องแป้งหลังเทา: 300–400 แกรม ราคาย่อมเยา เหมาะกับสินค้าทั่วไปที่ไม่เน้นพรีเมียม
  • กระดาษกล่องแป้งหลังขาว: 300–450 แกรม แข็งแรงกว่าหลังเทา พิมพ์สีได้ชัดกว่า เหมาะกับสินค้าอาหารและของใช้ประจำวัน

Tip: การเลือกวัสดุทำกล่องควรพิจารณาตามน้ำหนักสินค้า ภาพลักษณ์แบรนด์ และงบประมาณ เพื่อให้ได้กล่องที่ทั้งปกป้องสินค้าและช่วยสื่อสารแบรนด์ได้ตรงจุด

ฝากล่องยอดนิยม

  1. Tuck-End Box – โครงสร้างมาตรฐาน ผลิตง่าย เหมาะกับสินค้าทั่วไป
  2. Tuck Top - Lock Bottom – แข็งแรงขึ้น ป้องกันการเปิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักมากขึ้น
  3. Top-Opening Box – ใช้ง่าย เน้นการเข้าถึงสินค้าสะดวก มักใช้ในกล่องของขวัญหรือขนม
  4. กล่องสไลด์/ลิ้นชัก – สร้างประสบการณ์พรีเมียม เหมาะกับสินค้าที่ต้องการ Unboxing Experience
  5. Window Display Box – แสดงสินค้าให้เห็นบางส่วน เพิ่มความน่าสนใจ เหมาะกับอาหารหรือสินค้าแฟชั่น

Note : ฝากล่องแต่ละแบบมีต้นทุนแตกต่างกัน เลือกใช้ให้ตรงกับฟังก์ชัน + งบประมาณ + การใช้งานจริง

เทคนิคการพิมพ์กล่อง และงานพิมพ์เทคนิคพิเศษ

ระบบการพิมพ์หลัก

  • Offset Printing (การพิมพ์ระบบออฟเซ็ต)
    • จุดเด่น: คุณภาพสูงที่สุด ให้รายละเอียดคมชัด สม่ำเสมอ และสามารถใช้สีพิเศษ (Pantone) ได้ดี
    • เหมาะกับ: งานปริมาณมาก (Mass Production) เช่น กล่องสินค้า หนังสือ แคตตาล็อก
    • ต้นทุน: ต้นทุนเริ่มต้นสูง (ต้องทำเพลท) แต่ ต้นทุนต่อหน่วยจะถูกลงมาก เมื่อสั่งพิมพ์ในจำนวนที่เยอะขึ้น
  • Digital Printing (การพิมพ์ระบบดิจิทัล)
    • จุดเด่น: ความยืดหยุ่นสูง สามารถเปลี่ยนลายหรือข้อมูล (Variable Data) ได้ในทุกๆ แผ่น พิมพ์ได้รวดเร็ว
    • เหมาะกับ: งานด่วน งานปริมาณน้อย หรืองานสำหรับทดสอบตลาด (Mock-up/Sampling)
    • ต้นทุน: ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ (ไม่ต้องทำเพลท) แต่ต้นทุนต่อหน่วยจะคงที่หรือสูงกว่า ออฟเซ็ตเมื่อสั่งปริมาณมาก
  • Inkjet Printing (การพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต)
    • จุดเด่น: รองรับวัสดุหลากหลาย สามารถพิมพ์บนวัสดุที่ไม่ปกติได้ดี และให้สีสันสดใส
    • เหมาะกับ: งานสติกเกอร์ ฉลาก กล่องลูกฟูกขนาดใหญ่ หรือชิ้นงานสั่งทำเฉพาะ (Customization) ที่ต้องการความละเอียดสูง
    • ต้นทุน: มักใช้ในงานเฉพาะทาง มีความสามารถในการผลิตแบบตามความต้องการ 

Note: การเลือกเทคนิคการพิมพ์ควรพิจารณาจาก ปริมาณการผลิต งบประมาณ คุณภาพที่ต้องการ และระยะเวลา

งานฟินิช (Finishing)

งานฟินิช (Finishing) คือ กระบวนการตกแต่งขั้นสุดท้าย ของงานพิมพ์หรือบรรจุภัณฑ์ หลังจากที่พิมพ์สีลงบนกล่องเรียบร้อยแล้ว เพื่อเพิ่มความสวยงาม ความโดดเด่น และความทนทาน ให้กับกล่อง

  • ปั๊มเค (Foil Stamping): การติดฟิล์มฟอยล์สีเงิน ทอง หรือสีพิเศษลงบนกล่องด้วยความร้อน ช่วยเพิ่มความหรูหราและสะท้อนแสง ให้กับโลโก้หรือข้อความ
  • ปั๊มนูน/ปั๊มจม (Emboss/Deboss): การใช้แม่พิมพ์กดกระดาษให้เกิดมิติ สร้างผิวสัมผัสพิเศษ ทำให้ลายนั้นดูนูนขึ้น (Emboss) หรือยุบลง (Deboss)
  • Spot UV: เคลือบเงาด้วยน้ำยา UV เฉพาะจุด ที่ต้องการเน้น เพื่อทำให้รายละเอียดสำคัญ (เช่น ชื่อสินค้า) ดูโดดเด่นและมันวาว
  • เคลือบวานิช / เคลือบ UV ทั้งใบ: เพิ่มความเงางามและและช่วยป้องกันหมึก ไม่ให้หลุดลอกหรือสีซีด
  • เคลือบลามิเนตด้าน/เงา: การใช้แผ่นฟิล์มพลาสติกบางๆ เคลือบทับทั้งใบ เคลือบด้านจะให้ความรู้สึก พรีเมียมและเรียบหรู ส่วนเคลือบเงาจะให้ความรู้สึก สดใสและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีที่สุด
  • Soft-touch Coating: การเคลือบแบบพิเศษที่ทำให้พื้นผิวกล่อง ให้สัมผัสนุ่มคล้ายกำมะหยี่ สร้างความรู้สึกหรูหราและแตกต่าง

Tip: เลือกงานพิมพ์เทคนิคพิเศษให้ตรงกับภาพลักษณ์แบรนด์ และฟังก์ชันการใช้งานจริง เช่น สินค้าขนส่งบ่อยควรเน้นการเคลือบกันรอย ในขณะที่สินค้าพรีเมียมควรเพิ่มฟอยล์หรือ Spot UV

ขั้นตอนเตรียมไฟล์พิมพ์กล่องยังไงให้ถูกต้อง

สเปกไฟล์มาตรฐาน (สำหรับกล่องทุกประเภท)

  • ไฟล์ที่รองรับ: AI / EPS / PDF (แนะนำ: PDF/X‑1a:2001) และแนบ/ฝังภาพทั้งหมด (Embed/Package)
  • โหมดสี: CMYK เป็นหลัก สีแบรนด์เฉพาะให้ใช้ Pantone (Spot Color) และตั้งชื่อสปอตให้ชัด เช่น PANTONE 186 C
  • โปรไฟล์สี (ICC): ใช้โปรไฟล์ตามสเปกโรงพิมพ์เพื่อความแม่นยำของสี (สอบถามจาก Royalpaper)
  • ความละเอียดภาพ: ภาพถ่าย/ภาพกราฟิกแรสเตอร์ ≥300 DPI ที่ขนาดใช้งานจริง , งานเส้น/ไอคอนแบบเส้น (Line Art) แนะนำ 600–1200 DPI
  • สีดำทึบ (Rich Black): ใช้สูตร Rich Black ตามสเปกโรงพิมพ์สำหรับพื้นที่ดำทึบขนาดใหญ่ (ตรวจสอบกับทีม Prepress ก่อนเสมอ)
  • Bleed & Safe Area: เว้น Bleed ขั้นต่ำ 3 mm รอบงาน (งานไดคัทซับซ้อนแนะนำ 5 mm) และ Safe Area 3–5 mm สำหรับข้อความ/โลโก้สำคัญ
  • ฟอนต์และเส้นบางๆ: แปลงฟอนต์เป็น Outline ทั้งหมด , ความหนาเส้นแนะนำ ≥0.25 pt (ตัวอักษรกลับสีพื้นควร ≥0.35–0.5 pt) , ขนาดตัวอักษรแนะนำ ≥6 pt (งานตัวหนังสือกลับขาวบนพื้นเข้มควร ≥7–8 pt)
  • Dieline & เลเยอร์งานพิมพ์เทคนิคพิเศษ: แยกเลเยอร์ DIELINE/FOLD/GLUE/CUT/FOIL/UV/VARNISH เป็น Spot Color 100% และตั้งค่า Overprint ให้ชัดเจน (Dieline ไม่พิมพ์จริง)
  • บาร์โค้ด/QR: พิมพ์สีดำบนพื้นอ่อน , ตั้ง Quiet Zone รอบบาร์โค้ด , ขนาดตามมาตรฐาน EAN/UPC , ความละเอียด ≥300 DPI และทดสอบสแกนก่อนปล่อยผลิต
  • การตั้งชื่อไฟล์และเวอร์ชัน: ระบุรหัสงาน‑รุ่น‑วันที่ เช่น RP_BOX‑SERUM_60ml_V03_2025‑10‑02.pdf เพื่อป้องกันสับสน

Preflight Checklist ก่อนส่งโรงพิมพ์

  1. แปลงฟอนต์เป็น Outline + ฝังภาพครบ
  2. ตรวจโหมดสีเป็น CMYK หรือ Spot Pantone ตามที่กำหนด (ไม่มี RGB ค้าง)
  3. ใส่ Bleed รอบงาน + ตั้ง Safe Area ครบ
  4. แยกเลเยอร์ Dieline/ฟินิชเป็น Spot Color และตั้ง Overprint
  5. Flatten transparency สำหรับเอฟเฟกต์ซ้อนทับ (เมื่อส่งเป็น PDF/X‑1a)
  6. ตรวจคำสะกด/หน่วย/บาร์โค้ด และทดสอบสแกน
  7. สร้าง Mockup 3D/ภาพประกอบ เพื่อยืนยันทิศทางพับ/อ่าน (Orientation)
  8. ส่งไฟล์ PDF สำหรับพิมพ์ + ไฟล์ต้นทาง (AI/EPS) + รูปพรีวิว JPG/PNG ให้ครบ

หมายเหตุเพิ่มเติมสำหรับ สติกเกอร์/ฉลาก (หากสั่งพิมพ์ร่วม)

  • สร้าง Cut Path เป็น Spot Color ชื่อ CUT (เส้น 0.25 pt , ตั้ง Overprint)
  • ระบุ Kiss‑cut / Thru‑cut / Perforation แยกเลเยอร์ชัดเจน
  • ใช้ Bleed 1.5–2 mm รอบสติกเกอร์ และกำหนด Corner Radius หากต้องการมุมโค้ง
  • งานซีเรียลโค้ด/บาร์โค้ดต่อเนื่อง ให้แนบไฟล์ข้อมูลและตัวอย่างการจัดวาง

ความผิดพลาดที่พบบ่อย & วิธีแก้ (Quick Fix Table)

ปัญหาสาเหตุทั่วไปวิธีแก้ด่วน
สีเพี้ยนเมื่อพิมพ์จริงใช้ RGB/โปรไฟล์ไม่ตรงแปลงเป็น CMYK, ใช้ ICC ตามโรงพิมพ์, ขอ Digital Proof
ตัวหนังสือถูกตัดริมงานไม่มี Safe Area/ไม่มี Bleedเพิ่ม Safe 3–5 mm และ Bleed 3–5 mm
Dieline ติดพิมพ์ลงงานตั้งเป็น Process/ไม่ Overprintเปลี่ยนเป็น Spot 100% และตั้ง Overprint
บาร์โค้ดสแกนไม่ออกไม่มี Quiet Zone/คอนทราสต์ต่ำพิมพ์สีดำบนพื้นอ่อน เพิ่ม Quiet Zone และทดสอบสแกน
ภาพแตก/ไม่คมชัดความละเอียดต่ำ/สเกลเกินไปใช้ภาพ 300 DPI ที่ขนาดจริง หรือใช้เวกเตอร์แทน

Tip: ก่อนสั่งผลิตจริง แนะนำขอ Digital Proof/Mockup เพื่อยืนยันการจัดวาง สี และทิศทางพับ ช่วยลดการแก้งานและประหยัดเวลา

ราคา ขั้นต่ำ และระยะเวลาผลิต

  • ขั้นต่ำสั่งผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์กี่ใบ? โดยทั่วไป Offset Printing คุ้มเมื่อสั่งผลิต ตั้งแต่ 500–1,000 ใบขึ้นไป ส่วน Digital Printing เหมาะงานเล็กๆ มีจำนวนน้อย หรืองานด่วน
  • ปัจจัยกำหนดราคา: วัสดุที่ใช้, ขนาดกล่อง, จำนวนสี, เทคนิคพิเศษ(งานฟินิช), ปริมาณที่สั่งพิมพ์ (ยิ่งสั่งมาก ต้นทุนต่อหน่วยยิ่งถูกลง)
  • ระยะเวลาผลิต (Lead Time): 5–14 วันทำการ หลังคอนเฟิร์มแบบ

ตารางสรุประยะเวลาโดยประมาณ

ขั้นตอนระยะเวลา
Request a Quote1–2 วัน
ตรวจไฟล์/Mockup1–3 วัน
ผลิตจริง5–7 วัน
QC + จัดส่ง1–2 วัน

ขั้นตอนสั่งพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์กับ Royalpaper

  1. ติดต่อสอบถาม & ขอใบเสนอราคา
    ลูกค้าสามารถติดต่อผ่านช่องทางที่สะดวก LineOA: @royalpaper , โทรศัพท์ฝ่ายขาย (094-364-6396, 086-354-6635) , อีเมล [email protected] หรือเข้ามาพบทีมงานที่โรงพิมพ์โดยตรง แจ้งรายละเอียดสินค้าให้ครบ เช่น ประเภทกล่องบรรจุภัณฑ์ ขนาด สเปกงาน จำนวน เทคนิคพิเศษ และไฟล์ออกแบบ (ถ้ามี) เพื่อความรวดเร็ว ทีมงานจะประเมินราคาและส่งใบเสนอราคาให้พิจารณา
  2. ยืนยันแบบพร้อมผลิต & วางมัดจำ
    ทีมงานจัดทำ Digital Mockup/Proof ให้ลูกค้าตรวจสอบ เมื่อยืนยันแบบแล้ว ลูกค้าชำระมัดจำเพื่อเริ่มผลิต ระยะเวลาผลิตขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า (เช่น กล่อง 5–7 วันทำการ , ถุงกระดาษ 15–20 วันทำการ)
  3. เริ่มกระบวนการผลิต
    ผลิตตามแบบที่ยืนยัน รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ เทคนิคพิเศษ เคลือบ ตัดไดคัท และปะกาว พร้อมตรวจสอบคุณภาพ (QC) ทุกขั้นตอน
  4. ชำระเงินส่วนที่เหลือ & การจัดส่ง
    ลูกค้าชำระเงินส่วนที่เหลือตามเงื่อนไข และบริษัทจัดส่งสินค้าผ่านรถขนส่งของโรงพิมพ์ (ฟรีเมื่อยอดผลิตครบ 15,000 บาท ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล) หรือขนส่งเอกชน (Flash, Kerry, Lalamove, ไปรษณีย์ ฯลฯ) สำหรับต่างจังหวัด พร้อมแจ้งเลขพัสดุทาง Line/Email
    หมายเหตุ: บริษัทจัดส่งทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

เคล็ดลับออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ ให้แบรนด์ดูพรีเมียม

  • สร้างเอกลักษณ์สีสันและตัวอักษร : กำหนดโทนสีและฟอนต์ให้สอดคล้องกับ Brand Identity เช่น โทนสีอบอุ่นสำหรับสินค้าออร์แกนิก หรือโทนหรูหราสำหรับสินค้าพรีเมียม
  • กำหนดจุดโฟกัสข้อมูล : จัดวางข้อความชัดเจน อ่านง่าย โดยเน้นลำดับข้อมูลสำคัญ เช่น โลโก้ ชื่อสินค้า และจุดขายหลัก
  • ใช้เทคนิคผิวสัมผัส : ใช้เทคนิคพิเศษเสริม เช่น Spot UV / ฟอยล์ / ปั๊มนูน เพื่อเน้นโลโก้หรือรายละเอียดที่ต้องการดึงดูดสายตา
  • ตอกย้ำความยั่งยืน : ระบุสัญลักษณ์ Eco หรือ FSC สำหรับแบรนด์ที่เน้นความยั่งยืน และใช้ข้อความกำกับที่สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค
  • มอบประสบการณ์เปิดกล่องอันล้ำค่า: สร้างประสบการณ์การเปิดกล่อง (Unboxing Experience) เช่น เพิ่มข้อความข้างในฝากล่องหรือการดีไซน์แบบฝาสไลด์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษและอยากแชร์บนโซเชียลมีเดีย
  • ใช้ภาพเล่าเรื่องราวแบรนด์: ใช้ภาพประกอบหรือกราฟิกที่สะท้อนเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Storytelling) เพื่อเชื่อมโยงอารมณ์และคุณค่าของสินค้าเข้ากับผู้บริโภค

เช็คลิสต์ก่อนสั่งพิมพ์กล่อง 10 ข้อ

นี่คือ 10 ขั้นตอนสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้มั่นใจก่อนยืนยันการผลิต (Final Preflight Check)

  1. เลือกประเภทของกล่องบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับสินค้าและการใช้งาน
  2. วัดขนาดกว้าง × ยาว × สูง ให้พอดีกับผลิตภัณฑ์และวัสดุกันกระแทกภายใน
  3. เตรียม Dieline + Bleed 3 mm รอบงานตัดเพื่อป้องกันขอบขาว
  4. ใช้โหมดสี CMYK + 300 DPI
  5. ใส่ Safe Area เว้นระยะ 3–5 mm จากขอบตัดสำหรับข้อความและโลโก้
  6. แยกเลเยอร์งานฟินิช เช่น ฟอยล์/Spot UV
  7. ตรวจสอบความถูกต้องของ คำสะกด หน่วย และ บาร์โค้ด พร้อมทดลองสแกนก่อนสั่งพิมพ์
  8. เลือกเทคนิคพิเศษ (Finishing) ตามเป้าหมายแบรนด์
  9. กำหนดงบประมาณ และ MOQ (ขั้นต่ำสั่งผลิต) ให้เหมาะสม
  10. เผื่อเวลา Lead Time (ระยะเวลาผลิต) อย่างน้อย 5–14 วันทำการ หลังการยืนยันแบบ

Frequently Asked Questions (FAQ)

ขั้นต่ำสั่งผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์กี่ใบ?

สำหรับ Offset Printing อยู่ที่ 500–1,000 ใบขึ้นไป ส่วน Digital Printing ผลิตจำนวนน้อยได้ แนะนำไม่เกิน 1000 ใบ

เตรียมไฟล์พิมพ์กล่องยังไงให้ถูกต้อง?

ใช้ไฟล์ AI/PDF, โหมดสี CMYK, ความละเอียด 300 DPI, มี Bleed 3 mm, Safe Area 3–5 mm, แปลงฟอนต์เป็น Outline และแยกเลเยอร์ dieline/เทคนิคพิเศษ

ทำไมควรเลือกโรงพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ Royalpaper?

เพราะเรามีทีมเชี่ยวชาญ เครื่องพิมพ์ทันสมัย วัสดุหลากหลาย ราคาที่เหมาะสม และบริการครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการส่งมอบ

สรุป

การพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ไม่ใช่เป็นเพียงขั้นตอนการผลิต แต่คือการสร้างคุณค่าแบรนด์และประสบการณ์ให้ลูกค้า ตั้งแต่การเลือกวัสดุและโครงสร้างกล่องบรรจุภัณฑ์แบบต่างๆ การใช้เทคนิคการพิมพ์กล่องที่เหมาะสม ไปจนถึงการเตรียมไฟล์งานให้ถูกต้อง หากคุณเลือกโรงพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ Royalpaper คุณจะได้ทั้งงานคุณภาพ ราคาที่เหมาะสม และการบริการครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นใจ

อยากสั่งพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ คุณภาพสูง ในงบที่คุ้มค่า? ส่งรายละเอียดสินค้า (ขนาด, วัสดุ, จำนวน, ฟินิช) มาที่ Royalpaper วันนี้รับใบเสนอราคาภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมตรวจไฟล์ฟรี และสิทธิ์ขอตัวอย่าง Mockup เพื่อความมั่นใจก่อนผลิตจริง เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล และลูกค้าหลายร้อยรายยืนยันคุณภาพของเรา ติดต่อผ่าน Line , โทรศัพท์ หรือฟอร์มเว็บไซต์ แล้วเริ่มสั่งพิมพ์กล่องของคุณได้ทันที