เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างฉลากสินค้ากันน้ำ กับฉลากสินค้าแบบกระดาษ

เมื่อพูดถึงการติดฉลาก และการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการคำนึงถึงเรื่องของกาวที่ใช้กับฉลากสินค้าด้วย เช่น ฉลากสินค้ากันน้ำ และฉลากสินค้าแบบกระดาษ ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะ ข้อดีที่แตกต่างกัน แต่ได้รับการออกแบบสำหรับการใช้งาน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ฉลากสินค้ากันน้ำขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ติดทนนาน คุณสมบัติกันน้ำ ขณะที่ฉลากสินค้าแบบกระดาษขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่า ใช้งานง่าย ในบทความนี้ เราจะเปรียบเทียบฉลากสินค้าทั้งสองประเภทนี้ในแง่ของวัสดุ ความทนทาน คุณภาพการพิมพ์ ความคุ้มค่า และการใช้งาน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลว่าฉลากสินค้าประเภทใดเหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด

ฉลากสินค้ากันน้ำ VS ฉลากสินค้าแบบกระดาษ

หากจะถามว่าฉลากสินค้ากันน้ำ กับฉลากสินค้ากระดาษ อย่างไหนดีกว่ากัน คงเป็นคำถามที่ตอบยากอยู่พอสมควร เนื่องจากว่าคุณสมบัติของฉลากแต่ละชนิด แต่ละประเภทนั้น แตกต่างกัน ดังนั้นแล้ววันนี้ จึงอยากจะมาแชร์ข้อมูลรายละเอียดของทั้ง 2 อย่างนี้ว่า มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1.วัสดุ ( Material )

ฉลากสินค้ากันน้ำมักทำจากพีวีซี พีพี และฟอยล์ ซึ่งทนทานต่อน้ำ และองค์ประกอบอื่นๆ ได้รับการออกแบบมาให้ทนต่อการสัมผัสกับความชื้น สามารถกันน้ำได้ และปกป้องกาว งานพิมพ์บนฉลากไม่ให้เสียหายหรือถูกชะล้างออกไป ในทางกลับกันสติ๊กเกอร์กระดาษทำจากกระดาษ ซึ่งจะไม่ค่อยเหมาะกับโดนน้ำ หรือความชื้นเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้แล้ว ฉลากสินค้ากระดาษจึงมักใช้สำหรับการติดฉลากชั่วคราว หรือเพื่อการตกแต่งมากกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการโดนน้ำ นั่นเอง

2.ความทนทาน ( Durability )

เป็นที่รู้กันว่าฉลากสินค้ากันน้ำมีความทนทาน และใช้งานได้ยาวนานกว่าฉลากสินค้าแบบกระดาษ สามารถทนต่อการสัมผัสกับน้ำ ความชื้น แสงแดด ใหม่ ในทางตรงกันข้าม ฉลากสินค้ากระดาษอาจหลุดลอกได้ง่ายกว่า หรือสลายตัวได้ง่าย เมื่อสัมผัสกับความชื้น จึงทำให้ฉลากสินค้ากระดาษไม่เหมาะสำหรับการสร้างแบรนด์ หรือฉลากผลิตภัณฑ์ที่อาจสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น สินค้าที่ต้องอยู่กับความชื้นมากๆ หรือสินค้าที่ต้องอยู่กลางแจ้ง

3.คุณภาพการพิมพ์ ( Print Quality )

โดยทั่วไปแล้ว ฉลากสินค้ากันน้ำมักจะพิมพ์โดยใช้วิธีการพิมพ์แบบดิจิทัล หรือการพิมพ์แบบอิงค์เจ็ท วิธีการเหล่านี้ทำให้ได้งานพิมพ์ที่มีรายละเอียดสูง และมีขอบที่คมชัด สีสันที่สดใส นอกจากนี้ ฉลากกันน้ำที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น พีวีซี พีพี ยังสามารถเพิ่มคุณภาพการพิมพ์โดยรวม และความทนทานต่อสภาพภายนอกอาคารได้ดีกว่ากระดาษ ในทางกลับกัน ฉลากผลิตภัณฑ์กระดาษมักจะพิมพ์โดยใช้การพิมพ์แบบออฟเซ็ท ซึ่งจะทำให้ได้งานพิมพ์คุณภาพสูงแต่อาจไม่ละเอียด หรือคมชัดเท่ากับการพิมพ์แบบดิจิทัล นอกจากนี้ กระดาษยังเป็นวัสดุที่มีรูพรุนมากกว่า สามารถดูดซับหมึกได้มากกว่าวัสดุสังเคราะห์ ทำให้เกิดรอยเปื้อนหรือสีซีดจางได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ฉลากสินค้าแบบกระดาษยังคงสามารถผลิตงานพิมพ์คุณภาพสูงได้เมื่อใช้วิธีการพิมพ์ที่เหมาะสม และกระดาษคุณภาพสูง เช่น กระดาษเคลือบบางชนิดที่มีการเคลือบที่เหมาะสม

4.ลดค่าใช้จ่าย ( Cost-Effectiveness )

ฉลากกันน้ำมักจะมีราคาแพงกว่าฉลากกระดาษ เนื่องจากต้นทุนของวัสดุที่ใช้ และวิธีการพิมพ์ที่ใช้ ฉลากกันน้ำมักทำจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น พีวีซี พีพี ฟอยล์ ซึ่งอาจมีราคาแพงกว่ากระดาษ นอกจากนี้ วิธีการพิมพ์แบบดิจิทัล เช่น การพิมพ์แบบอิงค์เจ็ท ซึ่งใช้สำหรับฉลากกันน้ำมักจะมีราคาแพงกว่าการพิมพ์แบบออฟเซ็ทที่ใช้สำหรับฉลากกระดาษ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนรวมของการใช้ฉลากกันน้ำแทนฉลากกระดาษสามารถลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากความทนทานของฉลากกันน้ำ และความสามารถในการทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ตัวอย่างเช่น หากผลิตภัณฑ์ถูกจัดส่งหรือจัดเก็บในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงหรือโดนน้ำ ฉลากกันน้ำจะไม่เสื่อมสภาพเหมือนฉลากกระดาษ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนฉลากบ่อยๆ ซึ่งในทางกลับกัน ฉลากสินค้ากระดาษมักมีราคาถูกกว่าฉลากกันน้ำ เนื่องจากวัสดุ วิธีการพิมพ์ถูกกว่า หากผลิตภัณฑ์เป็นเพียงการใช้งานระยะสั้น และถูกจัดเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดภัย หรือเป็นพื้นที่แห้ง ฉลากสินค้ากระดาษจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

5.การใช้งาน ( Applications )

ฉลากสินค้ากันน้ำมีการใช้งานที่หลากหลาย เนื่องจากความทนทาน และความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และแม้แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาดกับสิ่งของต่างๆ เช่น กระจกรถยนต์ กระดานโต้คลื่น เนื่องจากทำจากวัสดุสังเคราะห์จึงสามารถยึดติดกับผิว สภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น โลหะ พลาสติก หรือผิวที่ไม่เรียบด้วยกาวที่เหมาะสม ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการสร้างแบรนด์ และการติดฉลากผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ เรือเดินทะเล และกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้ง ในทางตรงกันข้าม ฉลากสินค้ากระดาษมักใช้สำหรับติดฉลากชั่วคราว หรือเพื่อการตกแต่ง และไม่แนะนำให้ใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง  เนื่องจากอาจทำให้ฉลากสินค้าเสื่อมสภาพได้เร็ว เมื่อสัมผัสกับความชื้นหรือแสงแดด สามารถใช้สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการขาย การระบุในระยะสั้น หรือป้ายราคาชั่วคราว แต่จะไม่ใช้สำหรับการสร้างตราสินค้า และการติดฉลากผลิตภัณฑ์ในระยะยาว

สรุป

ฉลากสินค้ากันน้ำ และฉลากสินค้าแบบกระดาษต่างก็มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันไป ฉลากกันน้ำมีความทนทานมากกว่า และสามารถทนต่อการสัมผัสกับน้ำ ความร้อน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ทำให้เหมาะสำหรับใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับสภาวะ เช่น ความชื้นมากๆ อย่างไรก็ตาม การผลิตอาจมีราคาแพงกว่าและอาจไม่มีความสวยงามเท่าฉลากกระดาษ ในทางกลับกัน ฉลากกระดาษมีราคาไม่แพง สามารถพิมพ์ด้วยกราฟิก ข้อความคุณภาพสูง ทำให้เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องการความทนทานเพิ่มเติม สุดแล้วการเลือกระหว่างฉลากกันน้ำ และฉลากกระดาษจะขึ้นอยู่กับความต้องการ ข้อกำหนดเฉพาะของผลิตภัณฑ์ วัตถุประสงค์ในการใช้งานฉลากนั่นเอง