กล่องออฟเซ็ท (Offset) คืออะไร?
ในยุคสมัยที่ธุรกิจมีความต้องการรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบของลูกค้า กล่องออฟเซ็ท ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่โดดเด่น โดดเด่นด้วยคุณภาพและความคุ้มค่าที่ทำให้ธุรกิจหันมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น บรรจุภัณฑ์ลักษณะนี้ใช้เทคนิคการพิมพ์แบบพิเศษ ให้ภาพลักษณ์สวยงาม คมชัด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องสำอาง หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน เรามาร่วมกันทำความรู้จักกับกล่องออฟเซ็ทให้มากขึ้นและค้นหาเหตุผลที่ควรเลือกใช้กล่องออฟเซ็ทสำหรับธุรกิจของคุณกัน
กล่องออฟเซ็ท คืออะไร
กล่องออฟเซ็ท คือ บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตด้วยการพิมพ์ระบบออฟเซ็ท ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์บนพื้นราบโดยใช้แม่พิมพ์ 2 ชนิด คือ ส่วนที่รับน้ำและส่วนที่รับหมึก ทำให้ได้ภาพที่คมชัด สีสันสดใส มีรายละเอียดสูง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพระดับมืออาชีพ สามารถพิมพ์ได้ทั้งภาพและตัวอักษรขนาดเล็ก โดยกล่องออฟเซ็ทสามารถผลิตจากกระดาษได้หลากหลาย ตั้งแต่ 55-600 แกรม ไม่ว่าจะเป็นกระดาษอาร์ตการ์ด กระดาษคราฟท์ หรือกระดาษแข็งอื่นๆ
ระบบการพิมพ์แบบออฟเซ็ท (Offset)
การพิมพ์กล่องออฟเซ็ทใช้ระบบพิมพ์ที่เรียกว่า “ระบบการพิมพ์แบบออฟเซ็ท” ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1.โมแม่พิมพ์ (Printing Plate)
หน้าที่หลัก: เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพิมพ์ โดยทำหน้าที่รับภาพและตัวอักษรที่ต้องการพิมพ์จากไฟล์ดิจิทัล แล้วถ่ายทอดไปยังส่วนประกอบอื่นๆ ในเครื่องพิมพ์
วัสดุ: มักทำจากแผ่นอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแรงและทนทาน
กระบวนการสร้าง
- การทำเพลท: ไฟล์งานออกแบบจะถูกแปลงเป็นภาพบนแผ่นเพลท โดยใช้เทคโนโลยี Computer-to-Plate (CTP) ซึ่งให้ความละเอียดสูงและแม่นยำ
- การเคลือบ: แผ่นเพลทจะถูกเคลือบด้วยสารเคมีที่ทำให้พื้นผิวของเพลทแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่ชอบน้ำ (hydrophilic) และส่วนที่ชอบหมึก (hydrophobic)
- การถ่ายโอนภาพ: ภาพที่ต้องการพิมพ์จะถูกเผาลงบนแผ่นเพลท ทำให้ส่วนที่เป็นภาพกลายเป็นส่วนที่ชอบหมึก ส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนที่ชอบน้ำ
หลักการทำงาน: เมื่อหมึกและน้ำสัมผัสกับแผ่นเพลท หมึกจะเกาะเฉพาะส่วนที่เป็นภาพ เนื่องจากเป็นส่วนที่ชอบหมึก ส่วนน้ำจะเกาะเฉพาะส่วนที่เหลือ เนื่องจากเป็นส่วนที่ชอบน้ำ ทำให้ภาพที่ต้องการพิมพ์ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน
2.โมผ้ายาง (Rubber Blanket Cylinder)
- หน้าที่หลัก: ทำหน้าที่รับภาพจากโมแม่พิมพ์ และถ่ายทอดภาพนั้นไปยังวัสดุที่ต้องการพิมพ์ เช่น กระดาษ
- วัสดุ: ผลิตจากยางที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถรับภาพจากโมแม่พิมพ์ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถถ่ายทอดภาพลงบนวัสดุที่มีพื้นผิวไม่เรียบได้ดี
- หลักการทำงาน: เมื่อโมผ้ายางหมุนสัมผัสกับโมแม่พิมพ์ หมึกที่อยู่บนส่วนที่เป็นภาพของโมแม่พิมพ์จะถูกถ่ายทอดมาสู่โมผ้ายาง จากนั้นโมผ้ายางจะหมุนไปสัมผัสกับวัสดุที่ต้องการพิมพ์ ทำให้ภาพถูกถ่ายทอดลงบนวัสดุ
3.โมกดพิมพ์ (Impression Cylinder)
- หน้าที่หลัก: ทำหน้าที่กดวัสดุที่ต้องการพิมพ์ให้แนบสนิทกับโมผ้ายาง เพื่อให้ภาพถูกถ่ายทอดลงบนวัสดุได้อย่างคมชัดและสมบูรณ์
- หลักการทำงาน: เมื่อโมกดพิมพ์หมุนมาสัมผัสกับโมผ้ายาง วัสดุที่ต้องการพิมพ์จะถูกกดให้แนบสนิทกับโมผ้ายาง ทำให้หมึกที่อยู่บนโมผ้ายางถ่ายทอดลงบนวัสดุได้อย่างสมบูรณ์
ข้อดีของการพิมพ์กล่องออฟเซ็ท
- ได้ชิ้นงานคุณภาพสูง ภาพคมชัด สีสันสดใส เหมือนจริง
- สามารถพิมพ์ลงบนกระดาษได้หลากหลาย ตั้งแต่ 55-600 แกรม
- พิมพ์ได้รวดเร็ว ประมาณ 160 แผ่นต่อนาที ทั้ง 1 สี หรือ 4 สี
- เหมาะสำหรับพิมพ์จำนวนมาก ยิ่งพิมพ์มาก ต้นทุนยิ่งถูกลง
กระดาษสำหรับผลิตกล่องออฟเซ็ท
กล่องออฟเซ็ทสามารถผลิตจากกระดาษที่มีหลากหลายชนิด แต่ชนิดที่นิยมนำมาใช้มากที่สุด ได้แก่
- กระดาษอาร์ตการ์ด (Art Card Paper) – เป็นกระดาษที่มีเนื้อสัมผัสเรียบ แน่น และให้ความรู้สึกที่ดูมีคุณภาพ เหมาะสำหรับการพิมพ์งานที่ต้องการคุณภาพระดับสูง เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง หรือของขวัญ เนื่องจากเนื้อกระดาษช่วยเน้นความคมชัดของภาพและสีสัน
- กระดาษปอนด์ (Bond Paper) – เป็นกระดาษที่มีผิวเรียบ ดูดซึมหมึกพิมพ์ได้ดี และเป็นกระดาษที่ทึบแสง จึงเหมาะสำหรับการนำมาผลิตเป็นสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น สมุด ถุง หรือกล่อง เนื่องจากให้ความรู้สึกที่แข็งแรงและทนทาน
- กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper) – เป็นกระดาษที่มีเนื้อสัมผัสแข็งแรง ทนทาน และมีสีน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งเหมาะกับการนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร หรือสินค้าประเภทอื่นๆ ที่ต้องการความแข็งแรง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ความแตกต่างระหว่างการพิมพ์ออฟเซ็ทและดิจิตอล
1.กระบวนการ
ออฟเซ็ท
- ขั้นตอนที่ซับซ้อน: ต้องผ่านกระบวนการเตรียมแม่พิมพ์ (เพลท) ซึ่งเป็นแผ่นอะลูมิเนียมที่เคลือบด้วยสารเคมีเพื่อรับหมึกและไม่รับน้ำ โดยจะใช้เทคโนโลยี CTP (Computer-to-Plate) ในการถ่ายโอนภาพจากไฟล์ดิจิทัลลงบนเพลท
- การถ่ายทอดหมึก: หมึกจะถูกถ่ายทอดจากเพลทไปยังโมผ้ายาง แล้วจึงถ่ายทอดไปยังวัสดุพิมพ์ ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดสูง
ดิจิตอล
- ตรงไปตรงมา: ไม่ต้องใช้เพลท ข้อมูลดิจิทัลจะถูกส่งตรงไปยังเครื่องพิมพ์ ซึ่งจะฉายแสงเลเซอร์หรือพ่นหมึกโดยตรงลงบนวัสดุพิมพ์
- ความยืดหยุ่น: สามารถปรับเปลี่ยนภาพหรือข้อความได้ง่ายและรวดเร็ว
2.คุณภาพและรายละเอียด
ออฟเซ็ท
- คุณภาพสูง: ให้ภาพที่คมชัด สีสันสม่ำเสมอ และมีความละเอียดสูง เนื่องจากกระบวนการพิมพ์มีความแม่นยำ
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี: สามารถพิมพ์สีได้หลากหลายเฉดสีและมีความสม่ำเสมอ
ดิจิตอล
- คุณภาพดี: ให้ภาพที่มีคุณภาพดี แต่ความละเอียดอาจไม่สูงเท่าออฟเซ็ท โดยเฉพาะงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ภาพถ่าย
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี: สามารถพิมพ์สีได้หลากหลายเฉดสี แต่ความสม่ำเสมออาจไม่เท่าออฟเซ็ท
3.ปริมาณการผลิต
ออฟเซ็ท
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนมาก: เนื่องจากต้นทุนการเตรียมเพลทจะถูกกระจายไปยังจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง
- เวลาในการผลิต: ใช้เวลานานกว่าการพิมพ์ดิจิตอล เนื่องจากต้องเตรียมเพลท
ดิจิตอล
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย: สามารถพิมพ์งานได้เพียงชิ้นเดียวหรือจำนวนน้อยๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- ความยืดหยุ่น: สามารถพิมพ์งานที่มีปริมาณแตกต่างกันในแต่ละครั้งได้
4.ต้นทุน
ออฟเซ็ท
- ต้นทุนต่อหน่วยต่ำเมื่อผลิตจำนวนมาก: เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่มีปริมาณมาก เช่น นิตยสาร หนังสือ บรรจุภัณฑ์
- ต้นทุนเริ่มต้นสูง: เนื่องจากต้องลงทุนในการเตรียมเพลท
ดิจิตอล
- ต้นทุนต่อหน่วยสูงเมื่อผลิตจำนวนน้อย: เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่มีปริมาณน้อย เช่น นามบัตร ใบปลิว
- ไม่มีต้นทุนการเตรียมเพลท: สามารถเริ่มพิมพ์งานได้ทันที
สรุป
กล่องออฟเซ็ท เป็นบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงที่ผลิตด้วยการพิมพ์ระบบออฟเซ็ท ให้ภาพและสีที่คมชัดสวยงาม เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนมากในเวลารวดเร็ว สามารถพิมพ์ลงบนกระดาษได้หลากหลาย ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุน หากสนใจกล่องออฟเซ็ทหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ www.royalpaper.co.th ผู้เชี่ยวชาญด้านการพิมพ์บรรจุภัณฑ์