รู้จัก การสกรีนเสื้อมีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง?
การสกรีนเสื้อเป็นกระบวนการพิมพ์ลวดลาย ข้อความ หรือภาพกราฟิกลงบนเสื้อผ้าหรือผืนผ้าโดยตรง โดยใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ สวยงาม และคงทนต่อการซักและการใช้งาน ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีการสกรีนเสื้อ แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุ ปริมาณการผลิต และลักษณะของงานที่ต้องการ
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับประเภทต่างๆ ของการสกรีนเสื้อ เทคนิคที่ใช้ ข้อดีข้อเสีย และการเลือกใช้งานที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการสกรีนที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างถูกต้อง
การสกรีนเสื้อคืออะไร?
การสกรีนเสื้อคือ กระบวนการที่เราใช้ในการนำลายภาพต่างๆ มาพิมพ์ลงบนเสื้อผ้า โดยอาศัยเทคนิคและวัสดุที่หลากหลาย แต่ละวิธีก็จะมีเอกลักษณ์และความเหมาะสมแตกต่างกันไป ทำให้เราได้เสื้อผ้าที่มีลายสวยงามโดดเด่น และสะท้อนตัวตนของเราออกมาได้อย่างชัดเจน
6 ประเภทหลักๆ ของการสกรีนเสื้อ
1.การสกรีนเสื้อแบบ DTG (Direct to Garment)
การพิมพ์แบบ DTG ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัลที่พัฒนาขึ้น โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- เตรียมผ้า: เสื้อจะต้องผ่านกระบวนการพรีทรีตเพื่อให้หมึกติดทนมากขึ้น
- วางเสื้อ: วางเสื้อบนแท่นพิมพ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ
- พิมพ์: หมึกจะถูกพ่นลงบนผ้าโดยตรงผ่านหัวพิมพ์
- อบสี: หลังจากพิมพ์เสร็จจะต้องอบให้แห้งเพื่อให้หมึกติดทน
ข้อดี
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนมาก เนื่องจากสามารถสร้างบล็อกไว้ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
- ให้สีสันสดใส คมชัด และมีความทนทานสูง
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์ลายที่ซับซ้อน
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาในการเตรียมบล็อกสกรีน
- ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างบล็อก
การใช้งานที่เหมาะสม
- งานพิมพ์เสื้อยืด หมวก กระเป๋า ฯลฯ ในปริมาณมาก
- งานพิมพ์ลายที่ซับซ้อน เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย
2.การสกรีนเสื้อแบบ Sublimation หรือ Heat Transfer
การพิมพ์แบบซับลิเมชันเริ่มต้นจากการพิมพ์ลายลงบนกระดาษทรานเฟอร์ จากนั้นจะนำไปรีดลงบนผ้า โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- พิมพ์ลาย: พิมพ์ลายลงบนกระดาษทรานเฟอร์ด้วยหมึกซับลิเมชัน
- รีดลงบนผ้า: ใช้ความร้อนและแรงกดเพื่อให้หมึกซึมเข้าไปในเส้นใยของผ้า
- เย็นลง: ปล่อยให้ผ้าเย็นเพื่อให้หมึกติดทน
ข้อดี
- สามารถพิมพ์ลายได้หลากหลายสี
- ให้ภาพที่คมชัดและสีสันสดใส
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์ลายที่มีสีสันมากมาย
ข้อเสีย
- เหมาะสำหรับผ้าโพลีเอสเตอร์เท่านั้น
- ไม่เหมาะสำหรับผ้าสีเข้ม เนื่องจากสีอาจไม่ปรากฏชัด
การใช้งานที่เหมาะสม
- งานพิมพ์เสื้อกีฬา เสื้อแจ็คเก็ต ผ้าม่าน ฯลฯ ที่ทำจากผ้าโพลีเอสเตอร์
- งานพิมพ์ลายที่มีสีสันสดใส เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย
3.การสกรีนเสื้อแบบ Flex
การพิมพ์แบบ Flex Transfer ใช้ฟิล์ม PVC ในการพิมพ์ โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- พิมพ์ลายลงบนฟิล์ม: พิมพ์ลายลงบนฟิล์ม PVC
- รีดลงบนผ้า: ใช้ความร้อนและแรงกดรีดฟิล์มลงบนผ้า
ข้อดี
- ให้ความรู้สึกนูนของลาย
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์ตัวอักษร โลโก้ หรือลายเส้นที่ต้องการความโดดเด่น
ข้อเสีย
- ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์ลายที่ซับซ้อน
- อาจมีความคงทนน้อยกว่าวิธีอื่น
การใช้งานที่เหมาะสม
- งานพิมพ์เสื้อยืด เสื้อกีฬา หมวก ฯลฯ ที่ต้องการลายนูน
- งานพิมพ์ตัวอักษร โลโก้ หรือลายเส้นที่ต้องการความโดดเด่น
4.Silk Screen (ซิลค์สกรีน)
การทำงานของซิลค์สกรีนเริ่มต้นด้วยการสร้างบล็อกสกรีนที่มีรูพรุนละเอียด ซึ่งจะถูกใช้ในการพิมพ์หมึกลงบนผ้า โดยกระบวนการทำงานมีขั้นตอนดังนี้
- เตรียมบล็อก: สร้างบล็อกสกรีนโดยใช้วัสดุที่มีรูพรุน ซึ่งจะมีลวดลายที่ต้องการพิมพ์
- ติดตั้งบล็อก: วางบล็อกบนพื้นผิวของเสื้อผ้า
- พิมพ์หมึก: ใช้ที่กดหมึกเพื่อดันหมึกผ่านรูพรุนของบล็อกลงบนผ้า
- อบแห้ง: หลังจากพิมพ์เสร็จ จะต้องอบแห้งเพื่อให้หมึกติดทน
ข้อดี
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนมาก เนื่องจากสามารถสร้างบล็อกไว้ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
- ให้สีสันสดใส คมชัด และมีความทนทานสูง
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์ลายที่ซับซ้อน
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาในการเตรียมบล็อกสกรีน
- ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างบล็อก
การใช้งานที่เหมาะสม
- งานพิมพ์เสื้อยืด หมวก กระเป๋า ฯลฯ ในปริมาณมาก
- งานพิมพ์ลายที่ซับซ้อน เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย
5.Digital Film Transfer หรือ Digital Screen Transfer (DFT)
DFT เป็นการผสมผสานระหว่างการพิมพ์ดิจิทัลและการสกรีน โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- พิมพ์ลายลงบนฟิล์ม: ใช้เครื่องพิมพ์ดิจิทัลพิมพ์ลายลงบนฟิล์ม
- ติดฟิล์มบนบล็อก: นำฟิล์มไปติดบนบล็อกสำหรับสกรีน
- พิมพ์ลงบนผ้า: ใช้บล็อกสกรีนพิมพ์ลายลงบนผ้า
ข้อดี
- เป็นการผสมผสานระหว่างวิธีการดิจิทัลและวิธีการสกรีน
- ได้ผลงานที่มีความละเอียดสูงและสีสันสวยงาม
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาในการเตรียมฟิล์มและบล็อกสกรีน
- ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมอุปกรณ์
การใช้งานที่เหมาะสม
- งานพิมพ์เสื้อยืด หมวก กระเป๋า ฯลฯ ในปริมาณปานกลาง
- งานพิมพ์ลายที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย
6.การปัก
การปักไม่ใช่การสกรีน แต่เป็นการเย็บด้ายลงบนผ้า โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- ออกแบบลวดลาย: สร้างลวดลายที่ต้องการ
- ปักลงบนผ้า: ใช้เครื่องปักหรือมือเย็บด้ายตามลวดลายที่ออกแบบ
ข้อดี
- ให้ความรู้สึกหรูหราและทนทาน
- เหมาะสำหรับงานพิมพ์โลโก้หรือลายที่ต้องการความคงทนสูง
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง
- ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์ลายที่ซับซ้อน
การใช้งานที่เหมาะสม
- งานพิมพ์เสื้อเชิ้ต เสื้อโปโล หมวก ฯลฯ ที่ต้องการความคงทนสูง
- งานพิมพ์โลโก้หรือลายที่ต้องการความหรูหรา
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกวิธีการสกรีนเสื้อที่เหมาะสม
จำนวนชิ้นงาน
- จำนวนมาก: เหมาะกับการสกรีนแบบ Silk Screen เนื่องจากสามารถทำบล็อกไว้ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ทำให้ประหยัดต้นทุนในระยะยาว
- จำนวนน้อย: เหมาะกับการสกรีนแบบ DTG หรือ Sublimation เนื่องจากไม่จำเป็นต้องทำบล็อก ทำให้เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย หรืองานพิมพ์ลายที่ต้องการความหลากหลาย
ประเภทของผ้า
- ผ้า Cotton: เหมาะกับการสกรีนแบบ Silk Screen, DTG และ Sublimation
- ผ้า Polyester: เหมาะกับการสกรีนแบบ Sublimation และ Flex Transfer
- ผ้าผสม: สามารถเลือกวิธีการสกรีนได้หลากหลายขึ้นอยู่กับส่วนผสมของผ้า
สีของผ้า
- ผ้าสีอ่อน: สามารถเลือกวิธีการสกรีนได้หลากหลาย
- ผ้าสีเข้ม: เหมาะกับการสกรีนแบบ DTG หรือ Sublimation
ขนาดและความละเอียดของลาย
- ลายขนาดใหญ่และสีสันน้อย: เหมาะกับการสกรีนแบบ Silk Screen
- ลายขนาดเล็กและละเอียด: เหมาะกับการสกรีนแบบ DTG หรือ Sublimation
- ลายที่มีสีสันมากมาย: เหมาะกับการสกรีนแบบ Sublimation
งบประมาณ
- งบประมาณจำกัด: เหมาะกับการสกรีนแบบ Silk Screen สำหรับงานจำนวนมาก หรือ Sublimation สำหรับงานจำนวนน้อย
- งบประมาณสูง: สามารถเลือกวิธีการสกรีนที่ให้คุณภาพสูง เช่น DTG หรือ Flex Transfer
สรุป
การสกรีนเสื้อเป็นกระบวนการพิมพ์ลวดลาย ข้อความ หรือภาพกราฟิกลงบนเสื้อผ้า โดยมีหลากหลายเทคนิคให้เลือกใช้งาน เช่น การสกรีนแบบ DTG, Sublimation, Flex, Silk Screen, DFT และการปัก ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เช่น ความเหมาะสมกับวัสดุ จำนวนการผลิต และความละเอียดของลาย การเลือกวิธีสกรีนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทผ้า สีผ้า งบประมาณ และจำนวนชิ้นงาน เพื่อให้ได้ผลงานที่ตรงตามความต้องการและคุ้มค่าในการผลิต