บาร์โค้ด vs QR Code บนฉลากคืออะไร? ต่างกันยังไง?

บาร์โค้ด vs QR Code บนฉลากคืออะไร? ต่างกันยังไง?

รหัสบาร์โค้ดบนฉลาก (Barcode) และ QR Code คืออะไร? จำเป็นต้องมีไหม? สรุปความรู้พื้นฐาน ความแตกต่าง และหน้าที่ของ Barcode (สต็อก) กับ QR Code (การตลาด)

Key Takeaway

  • บาร์โค้ด (Barcode): คือสัญลักษณ์แท่งๆ (1 มิติ) ที่ออกแบบมาสำหรับ “เครื่องจักร/ร้านค้า” (เช่น เครื่องสแกน POS คิดเงิน, การจัดการสต็อก)
  • คิวอาร์โค้ด (QR Code): คือสัญลักษณ์สี่เหลี่ยม (2 มิติ) ที่ออกแบบมาสำหรับ “ลูกค้า” (ใช้กล้องมือถือสแกนเพื่อเข้าถึงข้อมูล, เว็บไซต์, หรือ Line OA)

Barcode ใช้เพื่อระบุตัวตนสินค้าในระบบ (เช่น EAN-13) ส่วน QR Code ใช้เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลและการตลาด หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าฉลากสินค้า (Label) คืออะไร สิ่งที่มักจะอยู่บนนั้นเกือบเสมอ คือ สัญลักษณ์แท่งๆ (บาร์โค้ด) หรือ สี่เหลี่ยมจัตุรัส (QR Code)

นี่คือจุดที่ผู้ประกอบการใหม่มักสับสนที่สุด ต้องใช้แบบไหน? มันใช้แทนกันได้ไหม? และคำถามสำคัญคือ ถ้าจะขายของ จำเป็นต้องมีบาร์โค้ดหรือเปล่า?

บทความนี้จะให้ความรู้พื้นฐานว่าทั้งสองอย่างคืออะไร มีหน้าที่ต่างกันอย่างไร และจำเป็นแค่ไหน โดยจะยังไม่ลงลึกถึง วิธีการออกแบบ หรือ ข้อกำหนดทางเทคนิค

สารบัญ

ตารางเปรียบเทียบ Barcode vs QR Code

ปัจจัยบาร์โค้ด (Barcode 1D)คิวอาร์โค้ด (QR Code 2D)
รูปลักษณ์ (Visual)แท่งเส้นแนวตั้ง (1 มิติ)สี่เหลี่ยมจัตุรัส (2 มิติ)
ข้อมูลที่เก็บ (Data)น้อย (ส่วนใหญ่เป็นตัวเลข)เยอะมาก (ตัวอักษร, ลิงก์เว็บ, ข้อมูลติดต่อ)
หน้าที่หลัก (Function)ระบุตัวตนสินค้า (สำหรับเครื่อง POS / สต็อก)เชื่อมต่อข้อมูล/การตลาด (สำหรับลูกค้า)
เครื่องมือสแกน (Scan by)เครื่องยิงบาร์โค้ด (Laser Scanner)กล้องโทรศัพท์มือถือ

เมื่อรู้แล้วว่าต้องใช้รหัสอะไร สิ่งสำคัญคือ ‘การเตรียมไฟล์’ อาร์ตเวิร์คให้ถูกต้อง ทั้งนี้การวางบาร์โค้ดที่เล็กไป หรือสีเพี้ยน อาจทำให้สแกนไม่ติด

อ่านต่อ: วิธีเตรียมไฟล์อาร์ตเวิร์คสำหรับพิมพ์สติ๊กเกอร์ม้วน

บาร์โค้ด (Barcode)

บาร์โค้ดสินค้า คือสัญลักษณ์ที่ภาคธุรกิจคุ้นเคยมานานที่สุด

บาร์โค้ดคืออะไร?

บาร์โค้ด คือรหัสแบบ 1 มิติ (1D) ที่ใช้ เส้นแนวตั้งที่มีความหนา-บางแตกต่างกัน เพื่อแทนชุดตัวเลข (หรือตัวอักษร) หน้าที่หลักของมันคือการเป็นรหัสที่เครื่องจักรอ่านได้ (Machine Readable) เพื่อระบุตัวตนสินค้าอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ประเภทบาร์โค้ดที่พบบ่อย (EAN-13)

ประเภทบาร์โค้ดที่พบบ่อยที่สุดบนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลก คือ EAN-13 (มีตัวเลข 13 หลัก) หน้าที่หลักของมันคือการใช้ในระบบ Point-of-Sale (POS) หรือ เครื่องคิดเงินในร้านค้าปลีก เช่น 7-Eleven, Tops, Lotus’s เมื่อแคชเชียร์สแกนแท่งบาร์โค้ด EAN-13 เครื่องจะดึงข้อมูลราคาสินค้าและชื่อสินค้าจากฐานข้อมูลของร้านค้านั้นๆ ขึ้นมาทันที

จำเป็นต้องมีบาร์โค้ดไหม?

  • จำเป็น: ถ้าคุณต้องการนำสินค้าไปฝากขายในร้านค้าปลีก (Retail Stores) หรือ ห้างสรรพสินค้าที่มีระบบ POS (เพราะร้านค้าเหล่านี้ใช้ EAN-13 เป็นมาตรฐานในการจัดการสต็อกและคิดเงิน)
  • ไม่จำเป็น: ถ้าคุณขายเองผ่านช่องทางออนไลน์ (เช่น Facebook, Shopee, TikTok) หรือขายที่ตลาดนัด ซึ่งไม่ได้ใช้เครื่องสแกน POS

คิวอาร์โค้ด (QR Code)

QR Code (Quick Response Code) คือเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับยุคสมาร์ทโฟน

QR Code คืออะไร? (พื้นฐาน)

QR Code คือรหัสแบบ 2 มิติ (2D) ที่เก็บข้อมูลได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน (ต่างจากบาร์โค้ดที่เก็บได้แค่แนวนอน) ทำให้มันเก็บข้อมูลได้เยอะกว่าบาร์โค้ดหลายเท่า และสามารถเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนอย่างลิงก์เว็บไซต์หรือข้อความยาวๆ ได้

หน้าที่หลักของมันคือการออกแบบมาให้คน (ลูกค้า) สแกนผ่านกล้องมือถือ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย

QR Code ใช้ทำอะไรบนฉลาก?

พิมพ์ QR Code บนสติ๊กเกอร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด เช่น

  • ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ (Website URL) ของแบรนด์
  • ลิงก์ไปยัง Line Official Account (Line OA) หรือ Facebook Page เพื่อให้ลูกค้าแอดเพื่อน
  • แสดงข้อมูลเพิ่มเติม (เช่น วิธีใช้, ที่มาของวัตถุดิบ, สูตรอาหาร, โปรโมชั่น)
  • ใช้สำหรับระบบลงทะเบียนรับประกันสินค้า

จำเป็นต้องมี QR Code ไหม?

  • ไม่จำเป็น (ในทางกฎหมาย): ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมี QR Code
  • แต่แนะนำอย่างยิ่ง (Highly Recommended): ในเชิงการตลาด QR Code คือ ประตูที่เชื่อมโยงลูกค้าจากสินค้าที่จับต้องได้ (Offline) ไปสู่โลกออนไลน์ (Online) ของแบรนด์คุณ มันคือเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ที่ต้นทุนต่ำที่สุด

ควรใช้ฉลากแบบไหน?

คำตอบขึ้นอยู่กับช่องทางการขาย และเป้าหมายทางการตลาดของคุณ

  1. ใช้ บาร์โค้ด (EAN-13) (อย่างเดียว): ถ้าคุณขายในร้านค้าปลีก (POS) แต่ไม่ได้เน้นการตลาดออนไลน์ผ่านฉลาก
  2. ใช้ QR Code (อย่างเดียว): ถ้าคุณขายออนไลน์/ขายตรง (ไม่ผ่าน POS) และต้องการให้ลูกค้าติดต่อ/ดูเว็บ/รับโปรโมชั่น
  3. ใช้ทั้ง Barcode และ QR Code (นิยมที่สุด): ถ้าคุณขายในร้านค้าปลีก (ใช้ Barcode EAN-13 สำหรับ POS) และ ต้องการทำการตลาดกับลูกค้า (ใช้ QR Code ให้ลูกค้าสแกน)

รู้หรือไม่? ระบบพิมพ์ Digital เหมาะกับการพิมพ์ QR Code ที่ไม่ซ้ำกัน (Variable Data QR) สำหรับการทำโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล

อ่านต่อ: รู้จักระบบพิมพ์สติ๊กเกอร์ม้วน (Flexo vs Digital)

สรุป

บาร์โค้ด (1D) คือ บัตรประชาชนของสินค้าสำหรับเครื่องคิดเงิน (POS) ส่วน คิวอาร์โค้ด (2D) คือประตูสู่การตลาดสำหรับลูกค้า (Mobile) การเลือกใช้รหัสเป็นเพียงขั้นตอนแรก ขั้นตอนต่อไปคือการนำรหัสเหล่านี้ไป “ออกแบบ” และ “เตรียมไฟล์” ให้ถูกต้อง เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสแกนได้จริง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

จำเป็นต้องมีบาร์โค้ด EAN-13 บนสินค้าไหม?

จำเป็น ถ้าคุณจะขายในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ (เช่น 7-Eleven, Tops) ที่ใช้ระบบ POS สแกน แต่ถ้าขายออนไลน์หรือขายตรงที่ไม่ได้ใช้ระบบ POS ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีครับ

QR Code กับ Barcode ใช้อันไหนดี?

ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ 1.ใช้ Barcode (EAN-13) เพื่อให้ร้านค้าสแกนตอนคิดเงิน 2.ใช้ QR Code เพื่อให้ลูกค้าสแกน (ด้วยมือถือ) ไปยังเว็บไซต์, Facebook, หรือ Line OA ของแบรนด์

ฉลากเดียวมีทั้ง Barcode และ QR Code ได้ไหม?

ได้และเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน โดย Barcode (EAN-13) ใช้สำหรับร้านค้า และ QR Code ใช้สำหรับลูกค้า

บาร์โค้ดต้องมีขนาดเท่าไหร่?

บาร์โค้ด (โดยเฉพาะ EAN-13) มีขนาดมาตรฐานที่แนะนำเพื่อให้เครื่องสแกน POS สามารถอ่านได้ง่าย หากพิมพ์ในขนาดที่เล็กเกินไปอาจทำให้เครื่องสแกนอ่านไม่ได้

Dynamic QR Code กับ Static QR Code ต่างกันยังไง?

Static QR Code (คงที่) ข้อมูลเช่น ลิงก์เว็บ จะถูกฝังถาวร พิมพ์แล้วแก้ไขลิงก์ปลายทางไม่ได้ ส่วน Dynamic QR Code (ยืดหยุ่น) พิมพ์แล้ว แต่ยังสามารถเปลี่ยนลิงก์ปลายทางได้ภายหลัง (ผ่านระบบของผู้ให้บริการ) เหมาะกับการตลาดที่ต้องเปลี่ยนโปรโมชั่นบ่อยๆ