รวม ประเภทกระดาษที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์
รู้จัก ชนิดกระดาษในวงการพิมพ์ เรียนรู้คุณสมบัติเด่นและการใช้งานที่เหมาะสม พร้อม 5 เคล็ดลับเลือกกระดาษให้ตรงกับความต้องการ เพื่องานพิมพ์คุณภาพเยี่ยม
สติ๊กเกอร์ สคบ. หรือ ฉลาก สคบ. คืออะไร? สรุปกฎหมาย ม.30–31 เช็กลิสต์ข้อมูลต้องมี ข้อกำหนดรายหมวด และขั้นตอนขออนุญาตแบบ Step-by-Step
Key Takeaways
ทุกวันนี้มีสินค้าที่หลากหลายและมีการแข่งขันกันมากขึ้น การสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องสวยงาม แต่คือความถูกต้องและความปลอดภัยของผู้บริโภคโดยตรง สติ๊กเกอร์ สคบ. / ฉลาก สคบ. คือกรอบกติกาที่กำหนดให้ข้อมูลสินค้าต้องถูกต้อง ครบถ้วน และตรวจสอบได้ บทความนี้สรุปรวมทุกอย่างที่ต้องรู้ ตั้งแต่ความหมาย ข้อกฎหมาย แนวทางปฏิบัติ ไปจนถึงวิธีขออนุญาตฉลาก — อ่านจบทำตามได้ทันที
ฉลาก สคบ. หรือที่หลายคนเรียกว่า สติ๊กเกอร์ สคบ. คือ ฉลากที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนดให้ต้องติดบนสินค้าในกลุ่ม “ควบคุมฉลาก” จุดประสงค์หลักไม่ใช่แค่เพื่อบอกข้อมูลสินค้าเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ปกป้องผู้บริโภคจากการได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือบิดเบือน
ฉลากที่ถูกต้องช่วยผู้บริโภคในด้านต่างๆ
ในมุมของผู้ประกอบการ ฉลากที่ทำถูกต้องคือการ “ลงทุนสร้างความเชื่อมั่น” ไม่ใช่แค่ทำตามกฎหมาย แต่ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การถูกปรับหลักหมื่นถึงแสนบาท การถูกดำเนินคดีอาญา หรือแม้กระทั่งการสูญเสียชื่อเสียงของแบรนด์ นอกจากนี้ ฉลากที่ครบถ้วนยังกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความโปร่งใส ทำให้ธุรกิจได้เปรียบคู่แข่งที่ละเลยเรื่องนี้
สินค้าในกลุ่ม “ควบคุมฉลาก” ที่ระบุโดยคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เนื่องจากหากข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ได้แก่
ข้อยกเว้น: ในบางกรณีอาจมีข้อยกเว้น เช่น สินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ หรือสินค้าที่ได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษตามกฎหมาย ข้อแนะนำคือผู้ประกอบการควรตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอกับ ประกาศล่าสุดของ สคบ. เนื่องจากรายการสินค้าควบคุมอาจมีการปรับปรุงอยู่เสมอ
การจัดทำฉลากที่ถูกต้องไม่ได้เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติ แต่เป็นข้อบังคับตามกฎหมายที่ชัดเจน พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) คือพื้นฐานสำคัญ:
นอกจากนี้ ยังมี ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก (เช่น “ลักษณะของฉลากสินค้าที่ควบคุมฉลาก พ.ศ. 2541” และประกาศปรับปรุง) ที่ระบุรายละเอียดเชิงปฏิบัติอย่างชัดเจน ทั้งเรื่อง รูปแบบ ภาษา ขนาดตัวอักษร และข้อมูลบังคับ ที่ต้องมีบนฉลากสินค้าแต่ละประเภท
การละเลยหรือการแสดงฉลากที่ไม่ถูกต้องถือเป็นความผิดทางกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยอาจเป็นได้ทั้ง โทษปรับ โทษจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งความหนักเบาจะขึ้นอยู่กับฐานความผิดและสถานะของผู้กระทำ (เช่น ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้สั่งทำ อาจได้รับโทษที่หนักกว่า)
การทำฉลากสินค้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย สคบ. ไม่ใช่แค่การใส่ข้อมูลให้ครบ แต่คือการป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นี่คือ รายการข้อมูลบังคับ (Mandatory Information) ที่ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบว่ามีครบถ้วนบนบรรจุภัณฑ์สินค้าทุกชิ้นก่อนนำออกจำหน่าย
หลักคิด: ชื่อและชนิดต้องสะท้อน “สิ่งที่ผู้บริโภคได้รับจริง” หลีกเลี่ยงถ้อยคำโอ้อวด/อ้างสรรพคุณเกินจริง
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ตั้งชื่อเชิงการตลาดจนทำให้ “ชนิดสินค้า” เลือนหาย ผู้บริโภคตีความผิด
Tips: ใช้คำที่เป็นกลางและอธิบายลักษณะสินค้าตรงไปตรงมา หากต้องการเน้นจุดเด่น ให้ระบุในส่วน “คุณสมบัติ” แยกจากชื่อหลัก
หลักคิด: ระบุหน่วยให้สอดคล้องกับลักษณะสินค้า (มล./ลิตร/กรัม/กิโลกรัม/ชิ้น) และระบุชัดว่าเป็น “สุทธิ”
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ระบุเฉพาะปริมาณรวมโดยไม่แยกจำนวนหน่วย หรือใช้หน่วยที่ไม่ได้มาตรฐาน (เช่น ออนซ์โดยไม่แปลงเป็นกรัม)
Tips: สินค้าชิ้นเล็กหลายหน่วย ให้แยก “สุทธิทั้งหมด” กับ “จำนวนต่อหน่วย” เพื่อความชัดเจน วางตัวเลขให้เด่นและอ่านง่าย
หลักคิด: เรียงตามปริมาณจากมากไปน้อย สินค้าที่เสี่ยงแพ้ต้องระบุสารก่อภูมิแพ้ชัดเจน
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ไม่ระบุสารเติมแต่ง ใช้ชื่อเฉพาะภายใน/ชื่อการค้าแทนชื่อสารที่ผู้บริโภคเข้าใจ หรือไม่เตือนสารก่อภูมิแพ้
Tips: สำหรับเครื่องสำอาง แนะนำใช้ชื่อมาตรฐาน INCI เพื่อสอดคล้องสากล หากมีสารก่อภูมิแพ้ให้ขีดเส้นใต้หรือทำตัวหนา
หลักคิด: เขียนแบบ “คำสั่งชัดเจน + ลำดับขั้น” เพื่อให้ทำได้ถูกต้องและปลอดภัย
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: คำแนะนำคลุมเครือ ไม่ระบุปริมาณหรือความถี่ หรือข้ามขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ/ความปลอดภัย
Tips: ใช้รูปแบบ กริยาเริ่มต้น → ปริมาณ/ความถี่ → ข้อจำกัด เรียงลำดับเป็นหมายเลข 1, 2, 3 ถ้ามีหลายขั้นตอน
หลักคิด: ชี้ความเสี่ยงสำคัญ และสิ่งที่ห้ามทำ + แนวทางจัดเก็บ/กำจัด
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ระบุคำเตือนไม่ครบถ้วน ไม่มีแนวทางแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือไม่แจ้งวิธีจัดเก็บที่ถูกต้อง
Tips: ใช้ไอคอนความปลอดภัย (เช่น ระวังไฟ/สารระคายเคือง) ช่วยสื่อสารเร็วขึ้น แต่ต้องไม่แทนที่ข้อความหลัก ใช้สีแดงหรือกรอบเตือนเพื่อดึงความสนใจ
หลักคิด: ใช้รูปแบบวันที่แบบเดียวกัน อ่านชัด ไม่พิมพ์ทับรอยพับ/แนวซีล
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ใช้รูปแบบวันที่ไม่สากล พิมพ์ซ้อนกับแนวตัด/พับทำให้อ่านไม่ออก หรือไม่มี LOT number สำหรับการตรวจสอบย้อนกลับ
Tips: แยก LOT/Batch จาก MFD/EXP ชัดเจน เพื่อรองรับการเรียกคืนสินค้า (traceability) ใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่และตัวหนาเพื่อให้เห็นชัดเจน
หลักคิด: ระบุข้อมูลติดต่อที่ใช้จริง (ชื่อบริษัทเต็ม, ที่อยู่, อีเมล/โทรศัพท์/เว็บไซต์)
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ใช้เพียงชื่อแบรนด์/เพจ โดยไม่มีนิติบุคคล/ช่องทางติดต่อจริง ไม่แยกชัดระหว่างผู้ผลิตกับผู้จัดจำหน่าย
Tips: หากเป็นสินค้านำเข้า ต้องระบุทั้ง “ผู้ผลิตต่างประเทศ” และ “ผู้นำเข้าในประเทศไทย” ให้ข้อมูลครบทั้งสองฝ่าย
หลักคิด: แสดงเลขทางการที่เกี่ยวข้องกับประเภทสินค้า (เช่น เลขสารบบอาหาร 13 หลัก, เลขที่ใบรับแจ้งเครื่องสำอาง)
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ไม่มีเลขทางการ ใช้เลขไม่ตรงกับประเภทสินค้า หรือวางตำแหน่งที่หายาก ผู้บริโภคหาไม่เจอ
Tips: วางใกล้ข้อมูลเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือใกล้ตารางโภชนาการ เพื่อให้ผู้บริโภคค้นพบได้ง่ายและตรวจสอบได้ ควรมีคำนำหน้าชัดเจน เช่น “เลขสารบบอาหาร:”
หลักคิด: ข้อมูลบังคับทุกรายการต้องมีภาษาไทย หากต้องการใช้ 2 ภาษาควบคู่ ต้องแปลให้ตรงความหมายและครบถ้วนเท่ากันทั้งสองภาษา
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: แปลไม่ตรงความหมาย แปลบางส่วนแล้วข้ามบางส่วน หรือใช้แต่ภาษาอังกฤษโดยไม่มีภาษาไทย
Tips: จัดวางแบบบล็อกซ้ายภาษาไทย/ขวาภาษาอังกฤษ หรือบรรทัดไทยก่อน–ต่างประเทศถัดไป ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาครบและตรงกันทั้งสองภาษา ใช้ขนาดตัวอักษรเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
หลักคิด: ออกแบบให้อ่านง่าย มองเห็นชัด และไม่สูญหายจากข้อบกพร่องทางการผลิต
ตัวอย่าง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: คอนทราสต์ต่ำเกินไป ตัวอักษรเล็กจนอ่านไม่ออก ข้อความสำคัญวางใกล้ขอบตัด/พับ หรือใช้รูปแบบ raster ที่เบลอเวลาพิมพ์เล็ก
Tips
นอกจากข้อมูลบังคับทั่วไปแล้ว สินค้าแต่ละหมวดจะมีข้อกำหนดพิเศษที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้อง
เพื่อช่วยให้เห็นภาพข้อกำหนดทางกฎหมายได้ชัดเจนที่สุด ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ลองมาดูตัวอย่างเปรียบเทียบฉลากที่ถูกต้องและฉลากที่ควรหลีกเลี่ยง ตามข้อบังคับของ สคบ. และหน่วยงานอื่นๆ
การขออนุญาตหรือการขึ้นทะเบียนฉลากอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในการนำสินค้าออกสู่ตลาดอย่างถูกกฎหมาย นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำตามได้ทันที
เช็กว่าสินค้าของคุณอยู่ในรายการควบคุมฉลากหรือไม่ (เทียบกับประกาศล่าสุดที่เกี่ยวข้อง)
หน่วยงานตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องของข้อมูลบนฉลากว่าสอดคล้องตามประกาศหรือไม่ หากทุกอย่างถูกต้องและครบถ้วนจะมีการออกหนังสือรับรองการใช้ฉลากให้
หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำคัญของผลิตภัณฑ์ เช่น ส่วนประกอบ วิธีใช้ คำเตือน ฯลฯ ต้องยื่นคำขอแก้ไขฉลากใหม่ ตามขั้นตอนเดิม
การเลือกช่องทางยื่นคำขอขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ประกอบการ แต่ละช่องทางมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้
เกณฑ์ | ออนไลน์ | ออฟไลน์ |
ความสะดวก | สูง ทำได้ทุกที่ทุกเวลา | ปานกลาง ต้องเดินทางไปยื่นที่สำนักงาน |
เวลาเดินทาง | ประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทาง | ต้องใช้เวลาในการเดินทางและการรอคิว |
ติดตามสถานะ | ในระบบออนไลน์ | โทร/ติดต่อเจ้าหน้าที่ |
คำแนะนำเชิงเอกสาร | ผ่านคู่มืออิเล็กทรอนิกส์/ศูนย์ช่วยเหลือ | พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง |
ไม่ว่าจะเลือกยื่นช่องทางใด ผู้ประกอบการมักทำผิดพลาดในจุดเดิมๆ ที่ทำให้เอกสารไม่ผ่านการอนุมัติ คุณควรตรวจสอบลิสต์นี้ก่อนยื่นคำขอทุกครั้ง:
บ่อยครั้งผู้ประกอบการมักสับสนกับบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลฉลากในไทย แม้ว่าทั้งหมดจะทำงานเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แต่ว่าแต่ละหน่วยงานก็มีขอบเขตการกำกับดูแลที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจขอบเขตอำนาจของ สคบ. อย. และ มอก. จะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้
เกณฑ์เปรียบเทียบ | สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) | สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) | สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) |
ประเด็นหลัก | ฉลาก/ข้อมูลผู้บริโภค (ความถูกต้อง) | อาหาร/ยา/เครื่องสำอาง (คุณภาพ/ความปลอดภัย) | มาตรฐานอุตสาหกรรม (ความปลอดภัย/ประสิทธิภาพ) |
โฟกัส | ความถูกต้องของเนื้อหาบนฉลาก/ไม่ทำให้เข้าใจผิด | ความปลอดภัย/คุณภาพของผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม | มาตรฐานความปลอดภัย/ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ |
ขอบเขตสินค้า | ฉลากควบคุมหลายหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค | อาหาร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง และวัตถุอันตราย | เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุตสาหกรรม /ของใช้หลากหลาย |
สิ่งที่มองหา | เนื้อหาบนฉลากครบ ชัดเจน แจ้งเตือนถูกต้อง | ใบอนุญาต/จดแจ้ง/การควบคุมสารต้องห้าม | ผ่านการรับรองมาตรฐานและการทดสอบตาม มอก. |
ตัวอย่าง | ฉลากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป | เลขสารบบอาหาร (เลข อย.) เลขที่ใบรับแจ้ง | เครื่องหมาย มอก. บนเครื่องใช้ไฟฟ้า |
การทำฉลากให้ถูกกฎหมายไม่ใช่แค่การตรวจสอบครั้งเดียว แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานทั้งหมดของแบรนด์ นี่คือชุดเครื่องมือและขั้นตอนการทำงานที่ช่วยให้คุณบริหารจัดการความเสี่ยงด้านฉลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฉลากทั่วไปอาจเน้นการสื่อสารแบรนด์ แต่ฉลาก สคบ. คือฉลากภายใต้ข้อบังคับทางกฎหมาย ต้องมีข้อมูลที่กำหนดและแสดงอย่างชัดเจน อ่านง่าย ไม่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด
ใช้หลักการเดียวกัน คือ สินค้าควบคุมฉลากยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉลาก สคบ. ทุกประการ ไม่ว่าช่องทางการจำหน่ายจะเป็นออนไลน์หรือหน้าร้านก็ตาม
ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า หลายหมวดบังคับให้ระบุ เช่น อาหาร/เครื่องสำอาง/สินค้าที่มีอายุการใช้งานสั้น แนะนำให้ตรวจสอบข้อกำหนดหมวดสินค้าของคุณโดยละเอียด
มีทั้งโทษปรับ โทษจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้สั่งทำ อาจได้รับโทษที่สูงกว่า
แก้ไขได้ แต่การเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำคัญ เช่น ส่วนประกอบ หรือคำเตือน ต้องยื่นคำขอแก้ไข และได้รับอนุญาตใหม่ก่อนนำไปใช้งานจริง
ฉลาก สคบ. ไม่ใช่ภาระ แต่คือหลักประกันความโปร่งใส ที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ การปฏิบัติตามกฎหมายฉลากช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจจากข้อมูลจริง และที่สำคัญกว่านั้นคือช่วยให้แบรนด์ของคุณ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย ที่อาจนำไปสู่การถูกปรับหลักแสนหรือการดำเนินคดีอาญา
แกนหลักของข้อบังคับนี้คือ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 30–31 ซึ่งถูกเสริมด้วย ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ที่กำหนด ลักษณะของฉลาก และ รายการสินค้าควบคุม ให้มีรายละเอียดชัดเจน การทำงานให้ถูกตั้งแต่ต้นคือการใช้ เช็กลิสต์ข้อมูลบังคับ ที่เราได้นำเสนอไป รวมถึงการให้ความสำคัญกับการ จัดวาง ภาษา และการยื่นอนุญาตอย่างถูกต้อง จะทำให้คุณสามารถปล่อยสินค้าออกสู่ตลาดได้อย่างมั่นใจ สร้างความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า และสร้างการเติบโตของแบรนด์ได้อย่างยั่งยืนที่สุด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง