เคยสงสัยไหมว่าสัญลักษณ์บนฉลากอาหารหมายถึงอะไร? บทความนี้จะพาคุณไปถอดรหัสทุกอย่าง ตั้งแต่ อย., GMP, วันหมดอายุ ไปจนถึงข้อมูลโภชนาการ อ่านเลย!
Key Takeaway
- ตรวจสอบ 3 จุดเสมอ: ก่อนซื้อทุกครั้ง ให้พลิกดูส่วนประกอบ (โดยเฉพาะข้อมูลผู้แพ้อาหาร) วันหมดอายุ (EXP) และเครื่องหมาย อย. ซึ่งเป็นการรับรองความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
- เข้าใจสัญลักษณ์ความปลอดภัย: GMP คือมาตรฐานกระบวนการผลิตที่ดีและสะอาด ส่วน HACCP คือมาตรฐานการควบคุมจุดอันตรายในอาหาร การมีสัญลักษณ์เหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพ
- วันหมดอายุ BBE vs. EXP ไม่เหมือนกัน: EXP (Expire) คือห้ามบริโภคหลังวันนั้นเด็ดขาด ส่วน BBE (Best Before) คือวันที่อาหารมีคุณภาพดีที่สุด หลังจากนั้นคุณภาพอาจลดลงแต่ยังอาจทานได้หากจัดเก็บถูกต้อง
- ฉลากคือเครื่องมือของผู้บริโภค: การสละเวลาอ่านข้อมูลบนฉลากเพียงเล็กน้อย ช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัย, เหมาะสมกับสุขภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากที่สุด
เคยสงสัยไหมว่าสัญลักษณ์และตัวอักษรเล็กๆ ที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์อาหารนั้นมีความหมายว่าอะไร? หลายคนอาจมองข้ามฉลากอาหารไป ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ “คู่มือ” สำคัญที่ผู้ผลิตมอบให้กับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อให้เราสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ
ฉลากอาหารไม่ได้เป็นเพียงป้ายบอกชื่อสินค้า แต่เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญ ทั้งส่วนผสม คุณค่าทางโภชนาการ เครื่องหมายรับรองมาตรฐานต่างๆ บทความนี้คือคู่มือที่จะพาคุณไปถอดรหัสทุกข้อมูลบนฉลาก เพื่อเปลี่ยนคุณให้เป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาดและดูแลสุขภาพของตัวเองและครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น
ทำไมฉลากอาหารจึงสำคัญ?
ฉลากอาหาร มีบทบาทสำคัญมากกว่าแค่ความสวยงาม แต่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจและความปลอดภัยของผู้บริโภคในหลายมิติ
- สื่อสารข้อมูลที่จำเป็น: เป็นช่องทางหลักในการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ผู้บริโภค เช่น ชื่อสินค้า, ส่วนประกอบ, วันหมดอายุ และวิธีการเก็บรักษาที่ถูกต้อง
- สร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น: ฉลากที่แสดงข้อมูลอย่างโปร่งใสและมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
- ช่วยในการตัดสินใจซื้อ: ข้อมูลบนฉลากช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติและเลือกซื้อสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตนเองได้มากที่สุด เช่น การเลือกอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางศาสนา
- รักษาความปลอดภัยของผู้บริโภค: การระบุข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหารและคำเตือนต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภค
ข้อมูลสำคัญบนฉลากที่ต้องดูก่อนซื้อเสมอ
เพื่อให้การเลือกซื้อของคุณปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด การทำความเข้าใจข้อมูลต่างๆ บนฉลากถือเป็นหัวใจสำคัญ นี่คือข้อมูลพื้นฐานที่คุณควรตรวจสอบทุกครั้ง
1. ส่วนประกอบ (Ingredients) และข้อมูลผู้แพ้อาหาร
รายการส่วนประกอบจะเรียงลำดับจากปริมาณที่ใช้มากที่สุดไปน้อยที่สุดเสมอ ซึ่งช่วยให้คุณทราบได้ว่าอาหารชิ้นนั้นมีอะไรเป็นส่วนผสมหลัก และที่สำคัญที่สุดคือข้อความ “ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร” ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องแสดงอย่างชัดเจน โดยมักจะทำเป็นตัวหนาหรืออยู่ในกรอบ เพื่อแจ้งเตือนส่วนผสมที่เป็นสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะ เช่น มีนม, ถั่วลิสง, แป้งสาลี และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
2. วันผลิต (MFG/Mfd) และ วันหมดอายุ (EXP/BB)
- MFG/Mfd (Manufacturing Date): คือ วันที่ผลิตสินค้า
- EXP (Expiry Date): คือ วันหมดอายุ หลังจากวันนั้นไม่ควรนำมารับประทานเด็ดขาด เนื่องจากอาหารอาจเน่าเสียและเป็นอันตราย
- BBE/BBF (Best Before/Best Before End): คือ ควรบริโภคก่อนวันที่ระบุ เพราะเป็นช่วงที่อาหารมีคุณภาพดีที่สุด ทั้งรสชาติ สี และกลิ่น หลังจากวันดังกล่าว คุณภาพอาจลดลง แต่ยังอาจบริโภคได้หากเก็บรักษาอย่างถูกต้องและตรวจสอบแล้วว่าไม่มีลักษณะผิดปกติ เช่น กลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือสีที่เปลี่ยนไป
ในกรอบข้อมูลโภชนาการจะมีข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น สิ่งที่ควรอ่านคือ
- หนึ่งหน่วยบริโภค (Serving size): บอกให้รู้ว่าข้อมูลทั้งหมดในกรอบนั้นคิดจากปริมาณการกินเท่าใด เช่น “หนึ่งหน่วยบริโภค 1 ซอง (30 กรัม)”
- พลังงาน (Energy): บอกปริมาณแคลอรีที่ได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
- สารอาหารที่ควรใส่ใจ: โดยเฉพาะ น้ำตาล (Sugar), ไขมัน (Fat) และ โซเดียม (Sodium) ซึ่งควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ
นอกจากนี้ สำหรับขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มบางชนิด จะมีฉลาก GDA หรือที่เรียกกันว่า ฉลากหวานมันเค็ม อยู่ที่ด้านหน้าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะสรุปข้อมูลพลังงาน, น้ำตาล, ไขมัน และโซเดียมในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
4. น้ำหนักสุทธิ (Net Weight)
ข้อมูลนี้บอกปริมาณที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมน้ำหนักบรรจุภัณฑ์) ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการเปรียบเทียบความคุ้มค่ากับสินค้าแบรนด์อื่นที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ช่วยให้คุณคำนวณราคาต่อหน่วย (เช่น ราคาต่อกรัม) ได้อย่างแม่นยำ
5. วิธีการเก็บรักษา
คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เช่น ควรเก็บในที่แห้งและเย็น หรือ ควรเก็บในตู้เย็นหลังเปิดใช้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยรักษาคุณภาพของอาหารให้คงอยู่ได้นานที่สุดและป้องกันการเน่าเสียก่อนเวลาอันควร การเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้อาหารหมดอายุก่อนวันที่ระบุไว้บนฉลากได้
6. ข้อมูลผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย
การระบุชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจ เพราะหากผู้บริโภคพบปัญหาในผลิตภัณฑ์ หรือมีข้อสงสัยใดๆ ก็สามารถติดต่อกลับไปยังผู้รับผิดชอบได้โดยตรง
เครื่องหมายรับรองคุณภาพและความปลอดภัย
เครื่องหมายเหล่านี้คือสัญลักษณ์ที่ช่วยการันตีว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานที่กำหนด ทำให้เรามั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยได้อีกระดับ โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้
1. เครื่องหมายจากหน่วยงานภาครัฐและมาตรฐานบังคับ
เป็นกลุ่มเครื่องหมายพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและความปลอดภัยโดยตรง ซึ่งผู้ผลิตจำเป็นต้องปฏิบัติตาม
- อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เป็นเครื่องหมายพื้นฐานที่สุดที่ผู้บริโภคควรมองหา แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ผ่านการพิจารณาด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ของ อย. แล้ว
เกร็ดน่ารู้: ในกรอบเครื่องหมาย อย. จะมี “เลขสารบบอาหาร 13 หลัก” กำกับอยู่เสมอ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สามารถใช้ตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ผ่านแอปพลิเคชัน “Oryor Smart Application” ทำให้ผู้บริโภคสามารถเช็คได้ทันทีว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุญาตจริงหรือไม่
- เครื่องหมาย Q (มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ – มกอช.) เป็นเครื่องหมายที่รับรองคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหาร ตั้งแต่กระบวนการในฟาร์มไปจนถึงการผลิตที่ได้มาตรฐาน ทำให้มั่นใจได้ว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้มีคุณภาพดีและปลอดภัย
2. มาตรฐานการผลิตสากล (GMP & HACCP)
เป็นมาตรฐานที่โรงงานอุตสาหกรรมอาหารนิยมใช้เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
- GMP (Good Manufacturing Practice): คือ หลักเกณฑ์วิธีการผลิตที่ดี เป็นมาตรฐานที่ควบคุมสุขลักษณะของโรงงานผลิตตั้งแต่โครงสร้างอาคาร, สภาพแวดล้อม ไปจนถึงกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้อาหารที่สะอาดและปลอดภัย (เน้นภาพรวมของกระบวนการผลิตที่ถูกสุขลักษณะ)
- HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point): คือ ระบบการวิเคราะห์อันตรายและควบคุมจุดวิกฤต เป็นมาตรฐานขั้นสูงที่ต่อยอดมาจาก GMP โดยจะเจาะลึกลงไปในแต่ละขั้นตอนการผลิตเพื่อวิเคราะห์และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอาหาร (เช่น เชื้อโรค, สารเคมี, สิ่งแปลกปลอม) (เน้นการควบคุมความเสี่ยงในแต่ละขั้นตอน)
โดยสรุป GMP คือการรับรองว่ามีกระบวนการผลิตโดยรวมที่สะอาด ในขณะที่ HACCP คือการรับรองว่ามีระบบเฝ้าระวังและควบคุมอันตรายในอาหาร โรงงานที่มีทั้งสองมาตรฐานจึงถือว่าน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง
3. เครื่องหมายเฉพาะทางและทางเลือกเพื่อผู้บริโภค
เป็นกลุ่มเครื่องหมายที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของผู้บริโภค ทั้งด้านความเชื่อ, สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม
- ฮาลาล (Halal): รับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตขึ้นตามหลักการศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงกระบวนการผลิต โดยไม่มีส่วนผสมต้องห้าม เช่น เนื้อสุกรหรือแอลกอฮอล์
- ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก (Organic): ยืนยันว่าวัตถุดิบที่ใช้มาจากการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี, ยาฆ่าแมลง หรือเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) โดยในประเทศไทยมักพบสัญลักษณ์ “Organic Thailand”
- สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo): เป็นเครื่องหมายที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสัญลักษณ์นี้จะมีการปรับลดปริมาณ น้ำตาล, ไขมัน และโซเดียม ลงตามเกณฑ์ที่กำหนด
- ฉลากเขียว (Green Label): บ่งบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ, กระบวนการผลิตที่ลดมลพิษ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้
- อาหารเจ (Vegetarian/J-Food): เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ และส่วนประกอบที่ได้จากสัตว์ (เช่น ไข่ นม) รวมถึงพืชผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หลักเกียว และใบยาสูบ (เพื่อตอบสนองความเชื่อและหลักปฏิบัติในช่วงเทศกาลกินเจ)
- OTOP (หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์): เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์คุณภาพจากชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศไทย บ่งบอกถึงสินค้าที่มีเอกลักษณ์และผลิตโดยภูมิปัญญาท้องถิ่น
วัสดุที่ใช้ทำฉลากอาหาร
วัสดุที่ใช้ทำฉลากก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต้องเหมาะสมกับประเภทของอาหารและสภาพแวดล้อมในการจัดเก็บ เพื่อให้ฉลากอาหารคงความสวยงามและข้อมูลยังคงอ่านได้ชัดเจนตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ วัสดุที่นิยมใช้มีดังนี้
ประเภทวัสดุยอดนิยมและคุณสมบัติ
1. กลุ่มสติกเกอร์กระดาษ (Paper Sticker Group)
เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและหลากหลายที่สุด เหมาะสำหรับสินค้าที่ไม่ต้องสัมผัสความชื้นหรือสภาวะที่รุนแรง
- กระดาษอาร์ต (Art Paper): มีผิวเรียบเนียน พิมพ์ภาพและสีสันได้สวยงามคมชัดที่สุด มีทั้งแบบเงาและแบบด้าน สามารถนำไปเคลือบเพื่อเพิ่มความทนทานได้
- กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper): มีสีน้ำตาลธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเรียบง่าย สไตล์ Eco-friendly หรือ Rustic เหมาะกับสินค้าออร์แกนิกหรือแฮนด์เมด
- เหมาะสำหรับ: สินค้าแห้ง เช่น ขนมขบเคี้ยว, กล่องเบเกอรี่, ของชำร่วย หรือสินค้าที่ไม่ต้องแช่เย็นเป็นเวลานาน
2. กลุ่มสติกเกอร์ฟิล์มพลาสติก (Plastic Film Sticker Group)
มีคุณสมบัติเด่นคือ ทนทานสูง กันน้ำได้ 100% และทนต่อการฉีกขาด จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
- ฟิล์ม PP (Polypropylene): มีความยืดหยุ่นสูง ทนความร้อนและสารเคมีได้ดี เหมาะสำหรับติดบนบรรจุภัณฑ์ที่บีบหรือโค้งงอได้ เช่น ขวดแชมพู, ขวดซอส, สินค้าแช่เย็น
- ฟิล์ม PET (Polyethylene Terephthalate): มีความแข็งแรงทนทานสูงมาก ทนต่อการฉีกขาดและความร้อนได้ดีเยี่ยม และมีเนื้อฟิล์มที่ใสเป็นพิเศษ เหมาะกับงานที่ต้องการโชว์เนื้อผลิตภัณฑ์ด้านใน
- เหมาะสำหรับ: สินค้าที่ต้องสัมผัสความชื้น, แช่เย็นหรือแช่แข็ง เช่น ขวดเครื่องดื่ม, ไอศกรีม, ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ, สินค้าที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ
3. วัสดุพิเศษ (Specialty Materials)
- อลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminum Foil): มีคุณสมบัติเป็นเกราะป้องกันแสงแดด, ออกซิเจน และความชื้นได้ดีที่สุด ช่วยรักษาคุณภาพ กลิ่น และรสชาติของผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อปัจจัยเหล่านี้ได้ยาวนาน วัสดุนี้มักถูกใช้เป็นบรรจุภัณฑ์หลักที่พิมพ์ข้อมูลฉลากโดยตรงลงบนพื้นผิว ซึ่งนอกจากจะช่วยคงความสดใหม่ของอาหารแล้ว ยังให้ภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมด้วย
- เหมาะสำหรับ: ผลิตภัณฑ์ที่บรรจุในซองหรือแผงที่ข้อมูลฉลากต้องอยู่บนวัสดุหลัก เช่น กาแฟคั่วบด, ใบชา, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรืออาหารผงปรุงรสที่ต้องการอายุการเก็บรักษานาน
ปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้วัสดุทำฉลาก
การที่ผู้ผลิตจะเลือกใช้วัสดุชนิดใดนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาปัจจัยหลายด้านประกอบกัน ได้แก่
- ประเภทของผลิตภัณฑ์: สินค้าเป็นของเหลว, ของแห้ง, หรือมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหรือไม่?
- สภาพแวดล้อมในการใช้งาน: สินค้าต้องถูกแช่เย็น, แช่แข็ง, วางในที่ร้อนชื้น หรือโดนแสงแดดโดยตรงหรือไม่?
- ลักษณะของบรรจุภัณฑ์: พื้นผิวที่จะติดฉลากเป็นแก้ว, พลาสติก, มีความโค้งมน หรือบีบได้หรือไม่?
- ภาพลักษณ์ของแบรนด์: ต้องการสื่อถึงความรู้สึกแบบใด เช่น ธรรมชาติ, ทันสมัย, หรือหรูหรา?
สำหรับเจ้าของแบรนด์และผู้ประกอบการ
หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูลและวัสดุต่างๆ แล้ว หากคุณกำลังวางแผนที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเองและต้องการสั่งผลิตฉลากสินค้าที่มีคุณภาพ การเลือกโรงพิมพ์, การเตรียมไฟล์งาน และการตรวจสอบคุณภาพก่อนพิมพ์จริง คือขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่อาจผิดพลาดได้ง่าย
อ่านต่อเพื่อเรียนรู้ขั้นตอนอย่างมืออาชีพได้ที่: ข้อควรระวัง! ก่อนสั่งผลิตสติกเกอร์ฉลากสินค้า ที่ต้องรู้
บทความนี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดราคาแพงและได้ฉลากที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ
Frequently Asked Questions (FAQ)
ฉลาก GDA หรือฉลากหวานมันเค็มคืออะไร?
คือฉลากที่แสดงข้อมูลพลังงาน, น้ำตาล, ไขมัน และโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมการบริโภคสารอาหารเหล่านี้ไม่ให้เกินปริมาณที่แนะนำต่อวันได้
หากสินค้าไม่มีเครื่องหมาย อย. สามารถบริโภคได้หรือไม่?
ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะเครื่องหมาย อย. เป็นการรับรองขั้นพื้นฐานว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่ามีความปลอดภัยในการบริโภค
วันหมดอายุแบบ BBE/BBF กับ EXP ต่างกันอย่างไร?
EXP คือวันที่อาหารหมดอายุจริง ไม่ควรบริโภคหลังวันดังกล่าว ส่วน BBE/BBF คือวันที่อาหารจะมีคุณภาพดีที่สุด หลังจากนั้นอาจมีรสชาติ สี หรือกลิ่นเปลี่ยนไป แต่ยังอาจบริโภคได้หากเก็บรักษาอย่างถูกต้องและไม่มีลักษณะผิดปกติ
ฉลากสำหรับผู้แพ้อาหารสังเกตได้อย่างไร?
ให้สังเกตข้อความ “ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร” ซึ่งมักจะแสดงด้วยตัวหนาหรืออยู่ในกรอบแยกต่างหาก โดยจะระบุส่วนผสมที่เป็นสารก่อภูมิแพ้หลัก เช่น มีนม, ถั่ว, แป้งสาลี
เครื่องหมาย GMP กับ HACCP จำเป็นต้องมีทั้งคู่หรือไม่?
GMP เป็นมาตรฐานการผลิตขั้นพื้นฐานที่ควบคุมสุขลักษณะโดยรวม ในขณะที่ HACCP เป็นระบบวิเคราะห์และควบคุมอันตรายขั้นสูง โรงงานที่มีทั้งสองมาตรฐานแสดงถึงการใส่ใจในคุณภาพและความปลอดภัยในระดับสูงมาก
สรุป
ฉลากอาหาร เป็นมากกว่าแค่สิ่งสวยงามที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์ แต่มันคือแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้เราในฐานะผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างชาญฉลาด การทำความเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ ของฉลาก ไม่ว่าจะเป็นการรับรองจาก อย. มาตรฐานการผลิต GMP/HACCP ข้อมูลโภชนาการแบบ GDA หรือความแตกต่างของ วันหมดอายุ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
การสละเวลาทำความเข้าใจในรายละเอียดเหล่านี้ จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าอาหารที่คุณเลือกนั้นมีคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมกับความต้องการของคุณและครอบครัวอย่างแท้จริง เริ่มต้นอ่านฉลากอาหารให้เป็นตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว!